ประวัติพระคาถาชินบัญชร

พระคาถาชินบัญชรถือเป็นคาถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งคาถา ที่ตกทอดสืบมาจากลังกาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ค้นพบในคัมภีร์โบราณและได้ทำการดัดแปลงแต่งเติมให้มีเอกลักษณ์พิเศษและดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากผู้ใดที่ได้ทำการสวดภาวนาคาถานี้เป็นประจำจะทำให้เขาผู้นั้นได้รับความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยอันตรายและคุณไสยต่าง ๆ รวมไปถึงศัตรูยังไม่กล้าเข้ามากล้ำกลายเขาผู้นั้นอีก             โดยพระคาถานี้มีอายุยาวนานนับร้อยปีตั้งแต่ ช่วงสมัยของรัชกาลที่ 2 มาจนถึงปัจจุบันทำให้ความศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เป็นที่เคารพบูชาของชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธเป็นอย่างมาก และยังนิยมท่องพระคาถานี้เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับตนเอง รวมไปถึงยังป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ให้กับตนได้อีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าแท้ที่จริงแล้วพระคาถาบทนี้ใครเป็นผู้แต่งขึ้นมา ระหว่างสมเด็จพระพุทธจารย์โต พรหมรังษี และพระมหาเถระรูปหนึ่ง ที่มีความเชี่ยวชาญบาลีปกรณ์ จากจังหวัดเชียงใหม่ แต่ส่วนใหญ่ก็ได้ลงความเห็นว่าผู้แต่งคือสมเด็จพระพุฒาจารย์โตนั่นเอง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วท่านเป็นเพียงผู้นำพระคาถาชินบัญชรมาเผยแพร่ต่อเท่านั้น             เพราะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้มีการบันทึกไว้ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ได้ไปสวดพระคาถานี้เพื่อถวายองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 และด้วยความที่บทสวดมีความไพเราะพระองค์ จึงได้ซักถามท่านว่าได้แต่งเองหรือไม่ไปเอาบทสวดนี้มาจากที่ใด ซึ่งท่านก็ได้ตอบว่า พระคาถาบทนี้เป็นสำนวนเก่าของเมืองเหนือ ซึ่งท่านก็ได้ทำการแก้ไขและดัดแปลงใหม่ ตัดตอนให้สั้นลง เพราะของลังกาจะยาวกว่านี้ นั่นก็ทำให้ความเป็นไปได้ของการคาดเดาว่าพระภิกษุชาวล้านนาเป็นคนแต่งอาจจะเป็นความจริง คาถาชินบัญชร ควรสวดวันไหน มีวิธีอย่างไร             พระคาถาชินบัญชรควรเริ่มสวดในวันพฤหัสบดีเพราะในวันนี้ถือเป็นวันไหว้ครู โดยมีพิธีในการสวดดังนี้ เตรียมดอกไม้สามสีหรือดอกบัว 9 ดอกหรือจะเป็นดอกมะลิ 1 กำก็ได้ จุดธูปเป็นเลขคี่ไม่ว่าจะเป็น 3 ,  5 ,  หรือ…

“ยันต์ ฮู้” ยันต์จีนที่คนจีนต้องมีติดบ้าน

เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวจีนให้ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของความมงคลและการป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ที่จะเข้าบ้านเป็นอย่างมาก ซึ่งหนึ่งใน Item ที่ชาวจีนมักจะมีติดบ้านเอาไว้ก็คือ ยันต์ ฮู้ ที่หลาย ๆ คนมักจะเห็นกันในรูปแบบของแผ่นกระดาษทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ๆ สีแดงและมีอักษรจีนเขียนเอาไว้จนทั่วแผ่นด้วยพู่กันหมึกสีดำซึ่งวันนี้เราก็มีความน่าสนใจและความรู้ดี ๆ ของยันต์ชนิดนี้มาให้คุณได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น ยันต์ ฮู้ คืออะไรมีความหมายว่าอย่างไร             ฮู้ คือ ผ้ายันต์ที่มีทั้งตัวหนังสือข้อความรวมไปถึงรูปภาพที่มีการวาดหรือเขียนด้วยพู่กันจีน ซึ่งความหมายที่อยู่บนยันผืนนั้นจะเป็นถ้อยคำที่มีความมงคลและยังป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามากล้ำกรายในบริเวณบ้านได้ โดยผู้ที่เขียนจะมีตั้งแต่ซินแสบัณฑิตรวมไปถึงพระจัน เมื่อทำการเขียนเสร็จแล้วก็จะนำไปอธิษฐานต่อหน้าพระเทพที่จะอัญเชิญบารมีลงมาสู่ฮู้นั้น ๆ โดยในปัจจุบันนิยมเขียนหรือพิมพ์ลงบนกระดาษหรือผ้าและยังได้รับความนิยมในการนำไปติดบริเวณประตูบ้าน โดยอายุของฮู้แต่ละผืนจะมีระยะเวลา 1 ปีจากนั้นก็จะนำไปเผาทิ้งแล้วทำบุญเพื่อทำการขอฮู้อันใหม่มาติดแทน ยันต์ ฮู้ แต่ละสีมีความแตกต่างกันอย่างไร ปัจจุบันเราจะเห็นฮู้ถึง 5 สีได้แก่ ยันต์ ฮู้ สีแดง : ปกป้องคุ้มครองสถานที่อยู่อาศัยและยังป้องกันอันตราย รวมไปถึงสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาสู่ตัวบ้านและผู้ที่อาศัยอยู่ภายในบ้านอีกด้วย ยันต์ ฮู้ สีเหลือง : นิยมใช้ในการปกป้องและกำราบ ภูต ผีต่าง ๆ มักเขียนด้วยหมึกสีแดง ยันต์ ฮู้ สีเขียว :…

‘ดูฮวงจุ้ยบ้าน’ เปรียบเทียบความเชื่อกับหลักวิทยาศาสตร์

การดูฮวงจุ้ยบ้านเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมากมาจนถึงปัจจุบัน เพราะก่อนจะสร้างบ้านผู้คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นชาวจีนหรือชาวไทยต่างก็มักจะอัญเชิญให้ซินแสผู้ที่มีความรอบรู้ในด้านศาสตร์ของฮวงจุ้ยเข้ามาตรวจสอบและดูทิศทางของบ้านว่าควรสร้างไปในทิศทางไหน รวมไปถึงองค์ประกอบของบ้านที่ดีควรมีอะไรบ้างนั้นทำให้ศาสตร์นี้เป็นพลังงานที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานจนคนรุ่นใหม่อาจจะไม่ค่อยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เราจึงได้นำเอาศาสตร์ฮวงจุ้ยเพื่อเปรียบเทียบกับหลักวิทยาศาสตร์ให้คุณได้ดูกันว่าความเชื่อของศาสตร์นี้จะมีประโยชน์ที่สามารถตอบโจทย์กับคนในปัจจุบันได้ดีแค่ไหน 3 ข้อ เปรียบเทียบ ดูฮวงจุ้ยบ้าน กับ วิทยาศาสตร์             ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าฮวงจุ้ยไม่ใช่ศาสตร์ที่เป็นเรื่องงมงายแต่มีความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้นอยู่ภายใน โดยมักจะใช้สำหรับกำหนดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านเพื่อให้เกิดการไหลเวียนของพลังงานในทิศทางที่ถูกต้องและเรียกให้พลังงานที่ดีไหลผ่านเข้าสู่ตัวบ้าน เพื่อทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยได้รับความร่มรื่น อยู่เย็นเป็นสุข และมีศิริมงคลในชีวิตเสริมดวงในหลากหลายด้านนั่นเอง ซึ่งการดูฮวงจุ้ยบ้านที่เราอยากนำมาให้คุณได้ลองพิจารณาดูมีดังนี้ ห้ามให้บ้านอยู่ใกล้กับหม้อแปลงไฟฟ้า ฮวงจุ้ย : ตามศาสตร์ฮวงจุ้ยเชื่อว่าการมีหม้อแปลงไฟฟ้าอยู่ติดกับตัวบ้านนั้น เป็นข้อห้ามที่ไม่ควรทำเป็นอันขาดเพราะเมื่อเราสร้างบ้านให้อยู่ใกล้กับหม้อแปลงไฟฟ้าแล้ว อาจเป็นเหตุที่ทำให้สุขภาพของคนในบ้านไม่แข็งแรงและสามารถเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อยครั้งซึ่งในบางทีก็อาจเกิดโรคร้ายขึ้นกับคนในบ้านได้เลยทีเดียว วิทยาศาสตร์ : แต่ในทางวิทยาศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่าหม้อแปลงเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่มีความเสี่ยงต่อการระเบิดได้ตลอดเวลา ซึ่งหากสร้างบ้านไว้ไกลกับบริเวณหม้อแปลงไฟฟ้า อาจทำให้เกิดเสียงรบกวนต่อผู้ที่อยู่อาศัยภายในบ้านและยังหากระเบิดและเกิดอัคคีภัยได้อีกด้วย ตำแหน่งของประตูห้องน้ำห้ามอยู่ตรงกับประตูห้องนอน ฮวงจุ้ย : ตามหลักของฮวงจุ้ยประตูห้องน้ำนั้น ไม่ควรตั้งอยู่ตรงกับประตูห้องนอนซึ่งถือว่าเป็นข้อห้ามที่ร้ายแรงมาก ๆ เพราะหากทำเช่นนี้ อาจทำให้เงินทองของบ้านถูกดูดออกไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้คนในบ้านประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการเงินได้ วิทยาศาสตร์ : ตามหลักวิทยาศาสตร์การทำประตูห้องน้ำไว้ติดกับห้องนอนนั้น ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยแต่อย่างใด แต่จะมีปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของกลิ่นอับ ไปจนถึงกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ มากกว่า ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการทำประตูห้องน้ำอยู่ตรงข้ามกับประตูห้องนอนนั่นเอง หัวเตียงห้ามหันไปทางทิศตะวันตก ฮวงจุ้ย : ตามหลักฮวงจุ้ยบ้านทิศตะวันตกนั้น ถือเป็นทิศที่ให้สำหรับผีนอนดังนั้นการจัดที่นอนไม่ควรที่จะหันหัวเตียงไปทางทิศตะวันตกโดยเด็ดขาด อีกทั้งแนวคิดนี้ก็ยังไม่ได้มีเพียงแค่ความเชื่อตามหลักของฮวงจุ้ยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่คนทั่ว ๆ…

พญาบึ้ง ใครเสี่ยงโชคต้องรู้ไว้

เชื่อว่าใครที่เป็นสายของการเสี่ยงโชคหรือการเล่นหวยนั้น แน่นอนว่าจะต้องรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าพญาบึ้งอย่างแน่นอน โดยสัตว์ชนิดนี้ก็สามารถพบได้ตามแหล่งธรรมชาติทั่วไป ซึ่งในปัจจุบันก็อาจจะหากันได้ค่อนข้างยากอีกทั้งยังเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์แต่คนไทยก็เชื่อว่ามันสามารถที่จะให้โชคได้นั่นเอง แล้วพญาบึ้งคืออะไรทำไมจึงมีความเกี่ยวข้องกับการเสี่ยงดวงและการให้โชคกับมนุษย์นั้น วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณได้กระจ่างกัน พญาบึ้ง คืออะไร พญาบึ้ง หรือ อีบึ้ง คือ แมงมุมชนิดหนึ่ง ที่มีขนาดใหญ่และไม่ชักใยตามบ้าน อาศัยอยู่ในรูดิน ในบางสายพันธุ์ก็จะอาศัยอยู่ในต้นไผ่ ซึ่งเป็นสกุลใหม่ของโลกในเมืองไทยที่เพิ่งพบเจอ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะอาศัยด้วยการขุดรูดินเสียทั้งนั้น ซึ่งธรรมชาติของบึ้งนั้นเวลาที่อยู่ในรูดินจะมีการฉาบใหญ่ผนังรูเอาไว้ เพื่อป้องกันการรุกรานจากสัตว์ร้ายหรือจากไรต่าง ๆ อีกทั้งการทำเช่นนี้ก็ยังทำให้พวกมันสามารถรับรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกจากแรงสั่นสะเทือนของเส้นใยได้อีกด้วย พญาบึ้งจะมีดวงตาที่เล็กมาก ๆ มักจะใช้ประสาทสัมผัสผ่านขนของตัวมันเองในการรับรู้แรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากใย ซึ่งพวกมันมักจะออกจากรูในเวลากลางคืนเพื่อไปหากิน และในเวลากลางวันก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนโดยพอเส้นใยปิดปากดูเอาไว้ นิสัยส่วนตัวของบึ้งจะเป็นสัตว์ที่รักความสะอาดมาก ๆ และมักจะทำความสะอาดใย รวมไปถึงรูดินของตนเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งชาวบ้านในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นจะรู้จักสัตว์ชนิดนี้เป็นอย่างดี เพราะมักจะขุดหาตัวผึ้งมากินเป็นอาหารนั่นเอง ซึ่งสาเหตุที่หลาย ๆ คนเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่าพญาบึ้งนั้น ก็มาจากความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อในการเสี่ยงทายดวงและโชคลาภ อย่างในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมาบึ้งได้ให้โชคกับชาวบ้านและหลาย ๆ คนในหลายงวดโดยใช้วิธีดันกระดาษที่มีตัวเลขออกมาจากรูของมัน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับหลักธรรมชาติหรือชีวภาพแล้วด้วยความรักสะอาด หากมีสิ่งใดที่ไม่ใช่ของของมันหล่นลงไปภายในรูนั้น มันก็มักจะดันสิ่งเหล่านั้นออกไปเพื่อทำให้ร่างของมันมีความสะอาดและน่าอยู่นั่นเอง และเช่นเดียวกันที่ในปัจจุบันเขายังมีผู้คนมากมายที่ได้นำเอาพญาบึ้งมาเป็นสัตว์นำโชคหรือเสี่ยงโชคอีกด้วย รวมไปถึงยังเชื่อว่ารู้บึ้งที่ศักดิ์สิทธิ์และจะให้โชคลาภได้ดีนั้นต้องหันปากดูไปทางทิศตะวันออกซึ่งนั่นก็เป็นเพียงกุศโลบายของชาวบ้านที่ทำให้การบูชาหรือการเสี่ยงทายถูกจำกัดไม่ให้มีการรุกรานบึ้งมากจนเกินไปนั่นเอง https://www.youtube.com/watch?v=39t8fJEcNWU

ทําไมพระพรหมมี 4 หน้า

พระพรหมมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ 1 ใน 3 ตรีมูรติของศาสนาพราหมณ์ฮินดู โดยเป็นที่เคารพศรัทธามาอย่างยาวนาน และยังเชื่อว่าพระพรหมเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ รวมไปถึงยังสามารถกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนและรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของสรรพชีวิต​ได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากใครที่ได้ไปอธิษฐานขอพรกับท่านแล้วเขาผู้นั้นก็จะถูกรับฟังคำอธิษฐานเสมอ จึงทำให้มีผู้คนมากมายต่างพากันไปบูชาพระพรหมและทำความดีเพื่อที่จะได้รับพรนี้อย่างสมหวังทุกประการ             โดยลักษณะของพระพรหมจะมี 4 พระพักตร์  4 แขนและ 4 มือ เหลืองทองอร่าม มือด้านขวาบนถือลูกประคำ มือด้านซ้ายบนคือหนังสือ มือด้านซ้ายล่างถือหม้อน้ำ และมือด้านขวาล่างใช้มอบสิ่งของให้กับผู้ที่เชื่อมต่อกับท่าน โดยพระพักตร์ทั้ง 4 มีดังนี้ พระพักตร์เมตตา ประทานพรเกี่ยวกับเรื่องงานการศึกษาและการรับผิดชอบในชีวิต พระพักตร์กรุณา ประทานพรเรื่องอสังหาริมทรัพย์ บ้าน รถ ที่ดิน พระพักตร์มุทิตา ประทานพรเรื่องสุขภาพคู่ครองและครอบครัว พระพักตร์อุเบกขา ประทานพรเรื่องโชคลาภเงินทองและการขอบุตร             โดยพระพักตร์ทั้ง 4 ของพระพรหมแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์พระเวท โดยคัมภีร์พระเวทนี้เป็นคัมภีร์โบราณที่มีความเก่าแก่และถูกบันทึกไว้เป็นภาษาสันสกฤต และเชื่อว่าคัมภีร์นี้ถูกถ่ายทอดมาจากพระพรหมโดยจะมีการถ่ายทอดมาจาก 2 ทางคือ ศรุติ ความรู้จากการได้ยินหรือเสียงทิพย์เสียงสวรรค์ และ สมฤติ คัมภีร์ที่เขียนบันทึกมาจากภายหลังเพื่อขยายความพระเวทบทต่าง ๆ             นอกจากนี้พระพักตร์ทั้ง 4 ด้านของพระพรหมยังเป็นสัญลักษณ์…

ตำนานเจ้าพ่อเขาใหญ่

            หากใครได้ไปเยือนเกาะสีชัง แน่นอนว่าจะต้องเข้าไปทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่เป็นอันดับแรกซึ่งศาลแห่งนี้เป็นที่เคารพของชาวชลบุรีมาอย่างช้านานโดยความเชื่อของชาวบ้านจากรุ่นสู่รุ่นทำให้ความขลังและมีความน่าพิศมัยชวนให้ได้หลงใหลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ของพ่อค้าแม่ขายและคนเดินเรือต่าง ๆ เมื่อได้ยินชื่อของเจ้าพ่อเขาใหญ่ต่างก็จะยกมือกราบไหว้กันแบบทันทีทันใด เพราะรู้ถึงพุทธคุณจากการบูชาและสักการะตามตำนานที่ได้เล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน             โดยในสมัยอดีตบริเวณเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เป็นจุดในการเดินทางค้าขายที่มีความคึกคักเรือนับร้อยลำจอดอยู่ทั่วรอบเกาะเพื่อขนส่งสินค้าทางเข้าและออก ซึ่งก็นับว่าเป็นแหล่งคนถ่ายสินค้าทางทะเลแห่งเดียวของประเทศไทยที่ไม่ต้องใช้ท่าเทียบเรือเนื่องจากมีภูมิประเทศที่เหมาะสมและอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลเพียงแค่ 12 กิโลเมตร นอกจากนี้บริเวณเกาะสีชังและเกาะบริเวณก็ยังเป็นชัยภูมิ ที่เรือสามารถจอดรถคลื่นลมได้เป็นอย่างดีจึงไม่จำเป็นต้องมีท่าเรือแต่อย่างใด             เล่ากันว่าในสมัยก่อนพ่อค้าเรือสำเภาชาวต่างชาติและพ่อค้าชาวจีนบริเวณภูเขาหัวเกาะสีชังหรือเขาคยาศิระที่เรียกกันในปัจจุบันจะปรากฏแสงสว่างในเวลาค่ำคืนอย่างสุกใสและมีความน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยแก่ผู้ที่ได้พบเห็น จึงได้พากันเข้าไปสำรวจในบริเวณนั้นและได้พบกับหินที่มีรูปร่างคล้ายกับเจ้าพ่อเขาใหญ่ภายในทับ ลักษณะนั่งประทับอยู่ จึงเกิดความศรัทธาและต่างพากันสักการะบนบานขอให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการค้าให้มีความมั่งคั่งรุ่งเรือง ซึ่งเมื่อสิ่งที่ขอไปประสบผลสำเร็จจึงได้มีการก่อสร้างเป็นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ขึ้น โดยเชื่อว่าศาลแห่งนี้สร้างตั้งแต่ปีพ.ศ 2435 หรือเป็นระยะเวลา 132 ปี             หลังจากข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องของการพบเห็นนี้ได้แพร่สะพัดออกไปก็ทำให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใสกันเป็นวงกว้างทำให้ผู้ที่มีความเชื่อและความเลื่อมใสต่างพากันเข้ามาสักการะ ณ สถานที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก  อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงแค่ชาวไทยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะยังมีชาวต่างประเทศหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย หรือจะเป็นไต้หวัน ก็มีอีกเช่นเดียวกัน ทำให้มีศิษยานุศิษย์มากมาย โดยจะมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวได้สักการะในเทศกาลสำคัญ เช่น ประเพณีไหว้ตรุษจีนของทุกปี ประเพณีนมัสการเจ้าพ่อเขาใหญ่ มาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง            

จี้กง หลวงจีนผู้สำเร็จเป็นอรหันต์ แต่ชาวบ้านทำไมเรียกท่าน “พระบ้า”

จี้กงหนึ่งในตัวละครทีวีและนิทานพื้นบ้านของจีนที่ถูกนำมาสร้างเป็นหนังและภาพยนตร์อย่างหลากหลาย โดย “จี้กง” นั้น ก็เป็นหลวงจีนที่มีเนื้อตัวมอมแมม นุ่งห่มจีวรเก่า ๆ ขาด ๆ และยังชอบดื่มเหล้า กินเนื้อ ซึ่งจะแตกต่างกับพระมหายานที่จะฉันมังสวิรัติทำให้ชาวบ้านต่างพากันเรียกท่านว่า “พระบ้า” และแน่นอนว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นเพียงแค่นิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อ ๆ กันมาแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วจี้กงมีตัวตนจริงในหน้าประวัติศาสตร์ ที่วันนี้เราจะพาคุณไปสืบเสาะหาประวัติของพระอรหันต์ผู้นี้กัน ประวัติ จี้กง             จี้กง มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1130 ถึง 1209 ในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ โดยมีนามเดิมว่า หลี่ซิวหยวน โดยครอบครัวของเขาเป็นสายบุญที่ยึดมั่นในพระพุทธศาสนาและมักที่จะทำบุญทำทานอยู่เป็นประจำ ทำให้จี้กงนั้นมีความรักและผูกพันกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงได้ออกบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ซึ่งเมื่อท่านได้ออกบวชแล้วก็ได้รับฉายาว่า “เต้าจี้” และจำพรรษาอยู่ที่วัดกั๋วชิงซื่อ และหลังจากนั้นก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดหลิงอิ่นซื่อในเมืองหลินอานที่ในปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหางโจวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว             จี้กงได้บำเพ็ญเพียรและศึกษาพระพุทธศาสนาจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่ด้วยลักษณะภายนอกของท่านที่ชอบทำตัวแปลก ๆ ทั้งพูดจาไม่สำรวม ไม่ชอบสวดมนต์ ไม่ชอบนั่งสมาธิ นุ่งห่มจีวรที่ขาด ๆ มีการปักและซ่อมแซมอยู่บ่อยครั้ง แถมยังชอบกินเนื้อสัตว์และดื่มเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันกล่าวขานท่านว่าเป็นพระบ้าในดงอรหันต์นั่นเอง อีกทั้งจี้กงก็มักจะปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่บาดเจ็บหรือตกทุกข์ได้ยาก ส่วนการปราบปีศาจก็ยังมีวิธีการที่ค่อนข้างแปลกประหลาดอีกเช่นเดียวกัน เช่น…

รู้จักเทพประตู การไหว้ขอเทพประตู ประวัติเทพประตู

เทพประตู หรือ หมึ่งซิ้ง เทพเจ้าผู้พิทักษ์รักษาครอบครัวและป้องกันสิ่งเลวร้ายทั้งปวงให้กับผู้ที่บูชา ซึ่งก็จะมีชื่อเรียกในภาษาจีนที่หลากหลาย อีกทั้งยังมีประวัติและตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับเรื่องของการปกป้องที่พักอาศัย รวมไปถึงการทำให้ครอบครัวนั้น ๆ ได้รับความผาสุก อีกทั้งยังเป็นการเสริมสิริมงคลให้แก่ผู้คนภายในบ้านอีกด้วย ประวัติและตำนาน ของ เทพประตู             เทพประตู หรือหมึ่งซิ้ง คือเทพเจ้าทั้ง 2 องค์ โดยองค์แรกสุดมาจากนักรบผู้กล้าในสมัยโบราณ ที่มีนามว่า “เซ่งเข่ง” ซึ่งจะสวมชุดสั้นกางเกงขายาวและในมือถือกระบี่ยาวในลักษณะของผู้ปราบมารและปีศาจ โดยความเชื่อนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หั่ง และต่อมาในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ได้มีการวาดรูปเทพเจ้าซิ่งทู้ และเทพเจ้าอุกลุ้ย ที่บานประตูทั้ง 2 ข้างโดยประวัติของเทพเจ้าทั้งสององค์นี้ มีการกล่าวว่าในสมัยโบราณณดินแดนซางไห้ มีต้นท้อต้นใหญ่ต้นหนึ่งที่มีรากฝังลึกลงดินถึง 3,000 ลี้ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นท้อนี้มีประตูผีที่เป็นทางเข้าออกของบรรดาภูตผีปีศาจอยู่ และบริเวณหน้าประตูจะมีเทพเจ้าซิ่งทู้และเทพเจ้าอุกลุ้ยผู้เป็นพี่น้องกันเฝ้าประตูไม่ให้ผู้ผีปีศาจเหล่านี้ออกมาทำร้ายผู้คน ซึ่งหากปีศาจตนใดประพฤติชั่วก็จะถูกใช้เชือกมัดจับมาสังเวยพยัคฆ์ร้าย พิธีกรรมสำคัญ             ประเพณีการเซ่นไหว้เทพเจ้าประตู ถือเป็นพิธีกรรมสำคัญ 1 ใน 5 ของพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าที่สำคัญของจีน โดยจะมีการนำเอารูปปั้นหรือการภาพวาดบริเวณประตูเปิด-ปิดทั้ง 2 บาน ของเทพเจ้าซิ่งทู้ และเทพเจ้าอุกลุ้ย เอาไว้ หรืออาจเป็นกระถางและแท่นตัดธูปเป็นรูปทรงน้ำเต้าแขวนเอาไว้ที่เสาหน้าบ้านทั้งสองข้าง เพื่อไหว้ในวาระต่าง ๆ โดยของที่ใช้ในการบูชาจะมีเพียงธูปทั้งหมด 7…

เทพ8เซียน มีใครบ้าง

เทพ8เซียน คือ เทพเจ้าทั้ง 8 ที่ชาวจีนให้การบูชาและเคารพนับถือกันมาอย่างช้านาน โดยในภาษาจีนแต้จิ๋ว ถูกเรียกว่า “โป๊ยเซียน” และในภาษาจีนกลาง ถูกเรียกว่า “ปาเซียน” เพราะ “ปา” แหละว่า แปด และ “เซียน” แปลว่า ผู้ที่มีพลังวิเศษ นั่นเอง อีกทั้งยังเป็นเทพเจ้าที่เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย และเปรียบเสมอืเป็นตังแทนของมนุษย์ 8 ประเภท ได้แก่ เพศชาย , เพศหญิง , เด็ก , คนแก่ , คนรวย , คนจน , ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ , และคนพิการ ตำนาน เทพ 8 เซียน               ตามตำนานเทพ 8 เซียน เป็นเทพที่เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นและปรากฏอยู่ในบันทึกไหวหนานจื่อ ของหลิวอันโดยในบันทึกนี้ได้เรียกเซียนทั้ง 8 ว่าปากง โดยตำนานนี้เป็นตำนานของเหล่าเซียนที่มีจุดมุ่งหมายในการแสวงหายาอายุวัฒนะและบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จ…

เทพเจ้า ทั้ง 4 ทิศของจีน

เทพเจ้าทั้ง 4 ทิศของจีนเป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบราณกาลว่าชาวจีนนั้นได้มอบน่านฟ้าทั้ง 4 ทิศ นี้ไว้ภายใต้การปกครองและคุ้มครองของสัตว์เทพ ทั้ง 4 ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “ซ้ายมังกรเขียว ขวาเสือขาวครอง หงส์แดงนำหน้า เต่าดำสถิตยังเบื้องหลัง” ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นในลัทธิเต๋าและยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของศาสตร์พยากรณ์อีกด้วย ประวัติและความเชื่อเทพเจ้า ทั้ง 4 ทิศของจีน มีอะไรบ้าง             ในสมัยโบราณกาล ชาวจีนจะแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 4 ส่วน อันได้แก่ ตะวันออก เหนือ ตก และใต้ ซึ่งจะมีวิธีการจะการสังเกตหมู่ดาวบนท้องฟ้า ว่ามีการจัดกลุ่มกัน เทียบเข้ากับลักษณะของมนุษย์หรือสัตว์ในตำนาน โดยมีการใช้สัตว์เทพทั้ง 4แทนทิศต่าง ๆ ดังนี้ มังกรเขียว (ชิงหลง) : แทนกลุ่มดาวในทิศตะวันออก และเป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ผลิ             มังกรเขียว มีลักษณะของหัวเหมือนกับอูฐ ลำตัวเป็นงู มีเกล็ดเป็นปลา ดวงตาเหมือนปีศาจ และยังมีเขาเหมือนวัว มีความเชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความเมตตาและความยุติธรรมจะนำพาความโชคดีมาให้แก่หมู่มวลมนุษย์ เสือขาว (ไป๋หู่) : แทนกลุ่มดาวในทิศตะวันตก และเป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ร่วง เสือขาว…