“เต่ามังกร” สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวจีน

            เต่ามังกร สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีน ที่เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและอำนาจบารมี รวมไปถึงความมั่นคงและความแข็งแรง ซึ่งนับว่าเป็นสัตว์เทพเจ้าในตำนานของจีนที่จัดอยู่ในจตุรเทพและยังมีผู้คนมากมายให้การเคารพศรัทธาบูชาเพื่อเสริมความมั่นคงและอำนาจบารมี เพิ่มความมั่นคงทางด้านสุขภาพอนามัยให้ผู้บูชามีอายุที่ยืนยาวอีกด้วย โดยในวันนี้เราได้นำเอาความน่าสนใจของเต่ามังกรมาให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น เต่ามังกร สุดยอดเครื่องรางปารถนาของชาวจีน             เต่ามังกร หรือ ชิงถงถัวหลง เป็นชื่อเรียกของโบราณวัตถุในพระราชวังกู้กง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของพระราชวังต้องห้าม ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ จึงต่อมังกรถือเป็นสัตว์ที่มีพลังอำนาจสูงมาก ๆ เพราะเป็นการรวมมหาภารังของมังกรและเต่าเอาไว้ในหนึ่งเดียว และยังเป็นสัตว์แห่งสรวงสวรรค์ทั้ง 2 ชนิดจาก 4 จตุรเทพของจีน ที่เปลี่ยนไปด้วยพลังแห่งความกล้าหาญอำนาจบารมีศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่และความปรีชาสามารถของมังกรควบคู่กับสุขะพละที่ยืนยาวความมั่นคงและอายุวัฒนะของเก่าที่เมื่อรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้พลังอนุภาพของวัตถุมงคลชนิดนี้แกร่งกล้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเต่ามังกรเป็นสุดยอดเรื่องราวปรารถนาของชาวจีนที่ได้สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ความเชื่อ เต่ามังกร             มีความเชื่อว่าหากใครที่ได้เป็นเจ้าของเต่ามังกร ผู้นั้นจะเป็นคนที่มีอำนาจวาสนาบารมีสูงส่งและยังมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง อายุยืนนาน โดยเต่าเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ที่มีอายุยืน ซึ่งหากวางรูปปั้นเต่าเอาไว้ในบ้านก็จะทำให้ผู้สูงอายุในบ้านมีอายุยืนนานและยังทำให้ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ หายป่วยได้ส่วนคนหนุ่มคนสาวก็จะมีโชคลาภและเด็กเล็กกเจริญเติบโตมาเป็นอย่างดีและสุขภาพร่างกายแข็งแรง อีกทั้งยังสามารถใช้เต่าเพื่อสลายพลังปราณชี่ โดยการพันทิปทางไปยังทิศที่มีปราณชี่พิฆาตต่าง ๆ             โดยวัตถุมงคลอย่างเต่ามังกรนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มของนักธุรกิจ ผู้บริหาร และพ่อค้าแม่ขายต่าง ๆ จึงเชื่อว่าเป็นเครื่องรางของขลังที่นำไปสู่ความสำเร็จทั้งลาภยศและเงินทอง และแนะนำให้ตั้งเอาไว้ทางทิศขวามือโดยให้ยึดหลักการยืนหันหน้าออกสู่ประตูเป็นหลัก หากทางขวามืออยู่ทางใด ก็ให้ตั้งเต่ามังกรไว้ทิศทางนั้นและห้ามให้มังกรหันหัวออกข้างนอก แต่ให้หันเข้ามาข้างในจึงจะถือว่าดีมากนั่นเอง https://www.youtube.com/watch?v=plc6VnRoT2k

จี้กง หลวงจีนผู้สำเร็จเป็นอรหันต์ แต่ชาวบ้านทำไมเรียกท่าน “พระบ้า”

จี้กงหนึ่งในตัวละครทีวีและนิทานพื้นบ้านของจีนที่ถูกนำมาสร้างเป็นหนังและภาพยนตร์อย่างหลากหลาย โดย “จี้กง” นั้น ก็เป็นหลวงจีนที่มีเนื้อตัวมอมแมม นุ่งห่มจีวรเก่า ๆ ขาด ๆ และยังชอบดื่มเหล้า กินเนื้อ ซึ่งจะแตกต่างกับพระมหายานที่จะฉันมังสวิรัติทำให้ชาวบ้านต่างพากันเรียกท่านว่า “พระบ้า” และแน่นอนว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นเพียงแค่นิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อ ๆ กันมาแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วจี้กงมีตัวตนจริงในหน้าประวัติศาสตร์ ที่วันนี้เราจะพาคุณไปสืบเสาะหาประวัติของพระอรหันต์ผู้นี้กัน ประวัติ จี้กง             จี้กง มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1130 ถึง 1209 ในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ โดยมีนามเดิมว่า หลี่ซิวหยวน โดยครอบครัวของเขาเป็นสายบุญที่ยึดมั่นในพระพุทธศาสนาและมักที่จะทำบุญทำทานอยู่เป็นประจำ ทำให้จี้กงนั้นมีความรักและผูกพันกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงได้ออกบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ซึ่งเมื่อท่านได้ออกบวชแล้วก็ได้รับฉายาว่า “เต้าจี้” และจำพรรษาอยู่ที่วัดกั๋วชิงซื่อ และหลังจากนั้นก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดหลิงอิ่นซื่อในเมืองหลินอานที่ในปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหางโจวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว             จี้กงได้บำเพ็ญเพียรและศึกษาพระพุทธศาสนาจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่ด้วยลักษณะภายนอกของท่านที่ชอบทำตัวแปลก ๆ ทั้งพูดจาไม่สำรวม ไม่ชอบสวดมนต์ ไม่ชอบนั่งสมาธิ นุ่งห่มจีวรที่ขาด ๆ มีการปักและซ่อมแซมอยู่บ่อยครั้ง แถมยังชอบกินเนื้อสัตว์และดื่มเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันกล่าวขานท่านว่าเป็นพระบ้าในดงอรหันต์นั่นเอง อีกทั้งจี้กงก็มักจะปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่บาดเจ็บหรือตกทุกข์ได้ยาก ส่วนการปราบปีศาจก็ยังมีวิธีการที่ค่อนข้างแปลกประหลาดอีกเช่นเดียวกัน เช่น…

พระราหู เทพอสูรนำพาโชคลาภ

พระราหู เทพอสูรนำพาโชคลาภโดยปกติคนทั่วไปมักเข้าใจกันว่า “พระราหู” เป็นเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่นำสิ่งไม่ดีต่าง ๆ นานา เคราะห์กรรม และทุกข์ภัย แต่แท้จริงแล้วพระราหูยังให้ผลทางโชคลาภอีกด้วย ซึ่งเราคงเคยได้ยินว่า “พระราหูกำลังจะย้ายครั้งยิ่งใหญ่” ให้เตรียมไหวแล้วจะเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีพระราหูกับความเชื่อทางโหราศาสตร์ในคติความเชื่อทางวิชาโหราศาสตร์กล่าวว่า พระราหูหรือดาวราหู คือเทพเจ้าแห่งการเปลี่ยนแปลงและภัยพิบัติ ถ้าดาวราหูจนเข้าอายุจรของบุคคลใดก็ตาม หรือเข้าทับลัคนา หรือลัคน์วัย จะส่งผลให้ชีวิตของบุคคลนั้นพบกับอุปสรรค ความวุ่นวาย การเปลี่ยนแปลง หนี้สิน และความเจ็บป่วย หรืออย่างใดอย่างหนึ่งพระราหูกับความเชื่อของชาวพุทธชาวพุทธมีความเชื่อเกี่ยวกับพระราหูคล้ายกับความเชื่อทางโหราศาสตร์ในเรื่องการเปลี่ยนแปลง โดยเชื่อว่าพระราหูจะช่วยเปลี่ยนแปลงปัดเป่าเรื่องร้าย กลายเป็นดี โดดเด่นเรื่องเมตามหานิยม โชคลาภเงินทองไหลมาเทมา ป้องกันคุณไสย ภูตผีปีศาจ และเสนียดจัญไร ประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้าด้านหน้าที่การงานพระราหู เทพอสูรองค์เทพราหูมีอิทธิฤทธิ์สูงมาก บารมีสูงส่ง ด้วยความเป็น “แฑตย์” หรือยักษ์อสูรมาแต่ชาติกำเนิด ภายหลังได้มาทำหน้าที่เป็นเทวดานพเคราะห์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ครองเรือนชะตาของมนุษย์ที่มีต้นกำเนิดความเชื่อนี้มาจากโหราศาสตร์ฮินดู ทั้งยังเป็นเทพที่บันดาลโชคและทรัพย์ให้กับคนได้ มนุษย์จึงนิยมบูชาด้วยเครื่องสีดำ 8 อย่าง หรือ 12 อย่าง ทั้งของคาวและของหวาน โดยเฉพาะผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน วันเสาร์ และวันอังคาร เนื่องจากเป็นวันของตนเอง จากนั้นกล่าวบทสวดไหว้พระราหู เริ่มจากตั้งนะโม 3 จบ แล้วสวดดังนี้บทสวดบูชาพระราหูกินนุ…

ทำไมพระราหูต้องกลืนกินพระจันทร์และพระอาทิต

ทำไมพระราหูต้องกลืนกินพระจันทร์และพระอาทิตย์ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ ในอดีตมักจะถูกอธิบายด้วยเรื่องเล่าตำนานและความเชื่อ ก่อนที่มนุษย์จะเริ่มรู้จักกับคำว่าวิทยาศาสตร์ที่นำมาอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับ “ตำนานราหูอมจันทร์” และ “ตำนานราหูอมพระอาทิตย์” มาคู่กับปรากฏการณ์จันทรุปราคาและสุริยุปราคา พร้อมกับความเชื่อที่ว่าพระราหูเป็นผู้กลืนกินพระจันทร์และพระอาทิตย์ เราจะไปทำความรู้จักพระราหูว่าคือใครและทำไมต้องกลืนกินพระจันทร์และพระอาทิตย์ด้วยต้นกำเนิดพระราหูตำนานการกำเนิดพระราหูมีอยู่มากมายหลายตำรา แต่ที่มักจะได้ทราบได้เห็นกันบ่อย ๆ คือ 3 ตำราที่กล่าวไว้ดังนี้พระราหูสร้างจากผีโขมด 12 ตัว บดป่นจนเป็นผง ห่อผ้าสีทองแล้วพรมน้ำอมฤตจนได้พระราหูที่มีกายสีนิลออกไปทางทองแดงพระราหูเป็นโอรสของท้าวเวปจิตติกับนางสิงหิกาพระราหูเป็นโอรสของพระพฤหัสบดีกับนางสิงหิกาลักษณะของพระราหูพระราหูที่พบเจอตามตำนานในไทย มักจะมีร่างกายเพียงครึ่งท่อนบน ได้แก่ ศีรษะ คอ ไหล่ อก และแขนสองข้าง มีลักษณะเป็นยักษ์ ดวงตาโปน อ้าปากกว้าง มีเขี้ยวยาวโง้ง แลดูดุร้าย และสวมมงกุฎ โดยสร้างในลักษณะเดียวกันคือกำลังอมพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ตำนานความเชื่อพระราหูอมพระจันทร์และพระอาทิตย์ในความเชื่อทางฝ่ายพราหมณ์กล่าวเล่าว่าเมื่อพิธีกวนน้ำอมฤตสำเร็จแล้ว ฝ่ายเทพฉวยโอกาสยึดเอาผอบน้ำอมฤตไปและผิดสัญญาต่อฝ่ายอสูร จึงเกิดเทวสุรสงครามเพื่อแย่งชิงน้ำอมฤตนี้ พระนารายณ์ทรงเข้ามาแก้เหตุเฉพาะหน้าไกล่เกลี่ย โดยแปลงร่างเป็นสาวงามนามว่า “โมหิณี” รับอาสาว่าจะเป็นผู้แบ่งทั้งสองฝ่ายอย่างยุติธรรม แต่ด้วยความที่เข้าข้างฝ่ายเทพด้วยกัน ฝ่ายเทพได้รับน้ำอมฤตก่อนและส่งต่อให้แก่เทพด้วยกันดื่มต่อ ๆ กัน ปล่อยให้ฝ่ายอสูรเฝ้ารออยู่นานด้วยบรรดาฝ่ายอสูรทั้งหมดคงจะมีเพียงเฉพาะพระราหูตนเดียวที่รู้ทันเล่ห์เพทุบายนี้ของฝ่ายเทพ จึงแปลงร่างเป็นเทพเข้าไปนั่งปะปนแทรกอยู่ระหว่าง

กระบี่เจ็ดดาว เทพศาสตราแห่งเซียนหลี่ตงปิง

กระบี่เจ็ดดาว วัตถุมงคลที่ชาวจีนยกให้เป็นอีกหนึ่งในเครื่องรางที่สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายและปรับฮวงจุ้ยภายในบ้านได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเรียกทรัพย์และเงินทองให้เข้าบ้านได้อีกด้วย โดยคนไทยก็นิยมนำมาบูชาวางเป็นเครื่องรางประดับโต๊ะทำงาน หน้ารถ ประตูบ้าน หรือบูชาบนหิ้งพระอีกด้วย แล้ววันนี้เราได้นำเอาประวัติรวมไปถึงพุทธคุณต่าง ๆ ของกระบี่เจ็ดดาว มาให้คุณได้รู้จักกัน ซึ่งจะมีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้างนั้นก็มาดูกันได้เลย ประวัติ กระบี่เจ็ดดาว             กระบี่เจ็ดดาว ของเหมาซาน เป็นกระบี่ที่สืบทอดมาจาก หลี่ทงปิ่น หรือ โป๊ยเซียนโจวซือหลี่ทงปิ่น นั่นเอง โดยท่านผู้นี้ถือเป็นหนึ่งใน 8 เซียนของจีน ที่ถูกกล่าวขานและได้รับการเคารพบูชามาอย่างยาวนานซึ่งสาเหตุที่ท่านมีกระบี่วิเศษเล่มนี้ก็มาจากการหล่อหลอมรวมกันของพลังสุริยะจันทราในบ่อเหล็กเย็น ซึ่งได้ซึมซับเป็นเวลาหลายล้านล้านปี โดยในวันที่หลี่ทงปิ่นสำเร็จเป็นเซียน เป็นวันเดียวกันกับที่กระบี่นั้นก็หล่อหลอมรวมกันสำเร็จ ทำให้ท่านได้กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธพิเศษติดตัว             ซึ่งสาเหตุที่กระบี่มี 7 ดาว ก็เป็นเพราะว่าบ่อเหล็กเย็นได้ซึมซับพลังไอสุริยะจันทราจาก 7 ดาวบนฟ้าให้กลายมาเป็นใบที่มี 7 ดาวอยู่บนกระบี่ เมื่อกระบี่พุ่งขึ้นจากบ่อเหล็กเย็น ค้างคาวหมื่นปีที่จำศีล จนได้สำเร็จเป็นเซียนได้เห็นการกำเนิดสิ่งนี้ ขึ้นจึงบินไปที่กระบี่และได้เป็นเทพารักษ์พิทักษ์กระบี่เล่มนี้ นั่นจึงทำให้กั่นของใบมีดเป็นรูปค้างคาวหมื่นปี และในส่วนของด้ามเป็นวันที่กระบี่สำเร็จออกมาเทพโอสถหรือ ท้อ เชื่อว่ามีชีวิตเหมือนกับมนุษย์ ได้เห็นกระบี่เกิดขึ้นมาบนโลก จึงได้สละตัวเองเป็นด้ามกระบี่ บวกกับหลี่ทงปิ่นที่ได้กรีดเลือดของตัวเองลงในบ่อเหล็กเย็น จึงได้หล่อหลอมรวมกันกลายเป็นกระบี่ที่เป็นของวิเศษคู่กายของท่าน และหากชักออกจากฝักจะสามารถกลับคืนเข้าฝักตัวเองได้เช่นเดียวกับค้างคาวที่สามารถบินกลับเข้าหาฝักได้นั่นเอง กระบี่เจ็ดดาว พุทธคุณ            …

องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นเทพเจ้าสูงสุดของจีน

องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ ที่พระเจ้าที่ได้รับขนานนามว่าเป็นเทพสูงสุดเหนือเทพทั้งปวงบนสรวงสวรรค์ หรือ ราชันย์แห่งสวรรค์นั่นเอง โดยเป็นเทพเจ้าตามความเชื่อในลัทธิเต๋า มีหน้าที่ในการปกป้องและดูแลทั้ง 3 โลก ตั้งแต่สวรรค์ โลกมนุษย์ ตลอดจนลึกสุดของใต้สมุทร เป็นที่เคารพบูชาของชาวจีนและชาวไทยมาจนถึงปัจจุบัน ประวัติ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้             องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ หรือในภาษาจีนกลางว่า อวี้ซ่างหวงตี้ มีชื่อเต็มว่า ฮ่าวเทียนจินฝาอู๋ซ่างจื้อจุนจื้อหรานเมี่ยวโหย่วหมีหลัวจื้อหวงซ่างตี้ ที่มีความหมายว่า จักรพรรดิหยกผู้สูงส่งคุณูปการดั่งทองคำอันไพศาล ไร้ประมาณด้วยความดีงามอันเลิศล้ำ ซึ่งเป็นชื่อที่ยาวมาก ๆ ทำให้เกิดเปื่อย่อที่เรียกง่าย ๆ แต่มีความหมายเช่นเดิม ว่า จักรพรรดิหยก นั่นเอง โดยตามคัมภีร์รวมจริยประวัติแห่งองค์จักรพรรดิหยก ได้จารึกเอาไว้ว่า ครั้งเมื่อโบราณกาล ณ อาณาจักรกวางเอี๋ยนเมี่ยวเล่อ มีกษัตริย์ที่ปกครอบนามว่า พรเจ้าจิ้งเต๋อหวง โดยในคืนหนึ่งพระมเหสีได้ฝันว่า เซียนไท่ซ่างเหล่าจวิน ได้อุ้มเด็กทารกเพศชาย มาให้กับพระนาง และหลังจากที่ตื่นขึ้นมา ก็พบว่าพระนางกำลังตั้งครรภ์ และมีอายุครรภ์ถึง 12 เดือน กว่าจะประสูติพระโอรสน้อยออกมา ในวันที่ 9 เดือนอ้าย             พระโอรสได้ทรงแบ่งเบาภาระของพระบิดาและพระมารดาทุกอย่าง ตลอดจนเป็นคนที่มีความเมตตา เฉลียวฉลาด…

ทำไม?อาวุธของยักษ์ถึงเป็นกระบอง

ยักษ์ คือ อมนุษย์ผู้มีร่างกายสูงใหญ่ มีเขี้ยวงอก โมโหร้าย ถือกระบองใหญ่โตคู่กายอยู่ตลอดเวลา ถูกกล่าวถึงในวรรณคดี ของพระพุทธศาสนาและพราหมณ์ โดยในศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อว่า ยักษ์ ถือกำเนิดขึ้นโดยพระพรหม ครั้นเมื่อได้สร้างโลกนี้ขึ้น พระองค์ทรงมีความประสงค์ที่จะหาผู้มาดูแลรักษาน้ำ จึงได้ทำการสร้างอมนุษย์ขึ้นมา 2 จำพวก ได้แก่ อมนุษย์ที่จะร้อง หิว อยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือ ยักษ์ และ รากษส ที่มีลักษณธเหมือนกับเทวดา แต่มีลักษณะมีและวรรณะที่ทรามกว่า เป็นผู้รักษายักษ์ และนับว่าเป็นพี่น้องกันนั่นเอง ยักษ์ ในความเชื่อของศาสนาพุทธ             ในความเชื่อของศาสนาพุทธ เชื่อว่า ยักษ์ เป็น เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกามีการแบ่งชั้นวรรณะ ตามบุญบารมี โดยยักษ์ชั้นสูง จะมีวิมานเป็นทอง และแก้วมณี มีรูปร่างที่ดูดี สวยงาม ผิวดำอมเขียว หรือในบางกายก็จะเป็นผิวอมเหลือง มีอาหารทิพย์ และมีบริวารคอยรับใช้ ไม่เห็นเขี้ยว เว้นแต่เวลาโกรธ ซึ่งต่างกับยักษ์ชั้นต่ำที่จะมีรูปกายน่าเกลียด ตาโปน ตัวดำ ผมหยิก และมีนิสัยดุร้าย สามารถเกิดได้ 4…

รู้จักเทพประตู การไหว้ขอเทพประตู ประวัติเทพประตู

เทพประตู หรือ หมึ่งซิ้ง เทพเจ้าผู้พิทักษ์รักษาครอบครัวและป้องกันสิ่งเลวร้ายทั้งปวงให้กับผู้ที่บูชา ซึ่งก็จะมีชื่อเรียกในภาษาจีนที่หลากหลาย อีกทั้งยังมีประวัติและตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับเรื่องของการปกป้องที่พักอาศัย รวมไปถึงการทำให้ครอบครัวนั้น ๆ ได้รับความผาสุก อีกทั้งยังเป็นการเสริมสิริมงคลให้แก่ผู้คนภายในบ้านอีกด้วย ประวัติและตำนาน ของ เทพประตู             เทพประตู หรือหมึ่งซิ้ง คือเทพเจ้าทั้ง 2 องค์ โดยองค์แรกสุดมาจากนักรบผู้กล้าในสมัยโบราณ ที่มีนามว่า “เซ่งเข่ง” ซึ่งจะสวมชุดสั้นกางเกงขายาวและในมือถือกระบี่ยาวในลักษณะของผู้ปราบมารและปีศาจ โดยความเชื่อนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หั่ง และต่อมาในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ได้มีการวาดรูปเทพเจ้าซิ่งทู้ และเทพเจ้าอุกลุ้ย ที่บานประตูทั้ง 2 ข้างโดยประวัติของเทพเจ้าทั้งสององค์นี้ มีการกล่าวว่าในสมัยโบราณณดินแดนซางไห้ มีต้นท้อต้นใหญ่ต้นหนึ่งที่มีรากฝังลึกลงดินถึง 3,000 ลี้ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นท้อนี้มีประตูผีที่เป็นทางเข้าออกของบรรดาภูตผีปีศาจอยู่ และบริเวณหน้าประตูจะมีเทพเจ้าซิ่งทู้และเทพเจ้าอุกลุ้ยผู้เป็นพี่น้องกันเฝ้าประตูไม่ให้ผู้ผีปีศาจเหล่านี้ออกมาทำร้ายผู้คน ซึ่งหากปีศาจตนใดประพฤติชั่วก็จะถูกใช้เชือกมัดจับมาสังเวยพยัคฆ์ร้าย พิธีกรรมสำคัญ             ประเพณีการเซ่นไหว้เทพเจ้าประตู ถือเป็นพิธีกรรมสำคัญ 1 ใน 5 ของพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าที่สำคัญของจีน โดยจะมีการนำเอารูปปั้นหรือการภาพวาดบริเวณประตูเปิด-ปิดทั้ง 2 บาน ของเทพเจ้าซิ่งทู้ และเทพเจ้าอุกลุ้ย เอาไว้ หรืออาจเป็นกระถางและแท่นตัดธูปเป็นรูปทรงน้ำเต้าแขวนเอาไว้ที่เสาหน้าบ้านทั้งสองข้าง เพื่อไหว้ในวาระต่าง ๆ โดยของที่ใช้ในการบูชาจะมีเพียงธูปทั้งหมด 7…

เทพ8เซียน มีใครบ้าง

เทพ8เซียน คือ เทพเจ้าทั้ง 8 ที่ชาวจีนให้การบูชาและเคารพนับถือกันมาอย่างช้านาน โดยในภาษาจีนแต้จิ๋ว ถูกเรียกว่า “โป๊ยเซียน” และในภาษาจีนกลาง ถูกเรียกว่า “ปาเซียน” เพราะ “ปา” แหละว่า แปด และ “เซียน” แปลว่า ผู้ที่มีพลังวิเศษ นั่นเอง อีกทั้งยังเป็นเทพเจ้าที่เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย และเปรียบเสมอืเป็นตังแทนของมนุษย์ 8 ประเภท ได้แก่ เพศชาย , เพศหญิง , เด็ก , คนแก่ , คนรวย , คนจน , ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ , และคนพิการ ตำนาน เทพ 8 เซียน               ตามตำนานเทพ 8 เซียน เป็นเทพที่เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นและปรากฏอยู่ในบันทึกไหวหนานจื่อ ของหลิวอันโดยในบันทึกนี้ได้เรียกเซียนทั้ง 8 ว่าปากง โดยตำนานนี้เป็นตำนานของเหล่าเซียนที่มีจุดมุ่งหมายในการแสวงหายาอายุวัฒนะและบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จ…

เทพเจ้า ทั้ง 4 ทิศของจีน

เทพเจ้าทั้ง 4 ทิศของจีนเป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบราณกาลว่าชาวจีนนั้นได้มอบน่านฟ้าทั้ง 4 ทิศ นี้ไว้ภายใต้การปกครองและคุ้มครองของสัตว์เทพ ทั้ง 4 ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “ซ้ายมังกรเขียว ขวาเสือขาวครอง หงส์แดงนำหน้า เต่าดำสถิตยังเบื้องหลัง” ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นในลัทธิเต๋าและยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของศาสตร์พยากรณ์อีกด้วย ประวัติและความเชื่อเทพเจ้า ทั้ง 4 ทิศของจีน มีอะไรบ้าง             ในสมัยโบราณกาล ชาวจีนจะแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 4 ส่วน อันได้แก่ ตะวันออก เหนือ ตก และใต้ ซึ่งจะมีวิธีการจะการสังเกตหมู่ดาวบนท้องฟ้า ว่ามีการจัดกลุ่มกัน เทียบเข้ากับลักษณะของมนุษย์หรือสัตว์ในตำนาน โดยมีการใช้สัตว์เทพทั้ง 4แทนทิศต่าง ๆ ดังนี้ มังกรเขียว (ชิงหลง) : แทนกลุ่มดาวในทิศตะวันออก และเป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ผลิ             มังกรเขียว มีลักษณะของหัวเหมือนกับอูฐ ลำตัวเป็นงู มีเกล็ดเป็นปลา ดวงตาเหมือนปีศาจ และยังมีเขาเหมือนวัว มีความเชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความเมตตาและความยุติธรรมจะนำพาความโชคดีมาให้แก่หมู่มวลมนุษย์ เสือขาว (ไป๋หู่) : แทนกลุ่มดาวในทิศตะวันตก และเป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ร่วง เสือขาว…