ทำไม?อาวุธของยักษ์ถึงเป็นกระบอง

ยักษ์ คือ อมนุษย์ผู้มีร่างกายสูงใหญ่ มีเขี้ยวงอก โมโหร้าย ถือกระบองใหญ่โตคู่กายอยู่ตลอดเวลา ถูกกล่าวถึงในวรรณคดี ของพระพุทธศาสนาและพราหมณ์ โดยในศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อว่า ยักษ์ ถือกำเนิดขึ้นโดยพระพรหม ครั้นเมื่อได้สร้างโลกนี้ขึ้น พระองค์ทรงมีความประสงค์ที่จะหาผู้มาดูแลรักษาน้ำ จึงได้ทำการสร้างอมนุษย์ขึ้นมา 2 จำพวก ได้แก่ อมนุษย์ที่จะร้อง หิว อยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือ ยักษ์ และ รากษส ที่มีลักษณธเหมือนกับเทวดา แต่มีลักษณะมีและวรรณะที่ทรามกว่า เป็นผู้รักษายักษ์ และนับว่าเป็นพี่น้องกันนั่นเอง

ยักษ์ ในความเชื่อของศาสนาพุทธ

            ในความเชื่อของศาสนาพุทธ เชื่อว่า ยักษ์ เป็น เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกามีการแบ่งชั้นวรรณะ ตามบุญบารมี โดยยักษ์ชั้นสูง จะมีวิมานเป็นทอง และแก้วมณี มีรูปร่างที่ดูดี สวยงาม ผิวดำอมเขียว หรือในบางกายก็จะเป็นผิวอมเหลือง มีอาหารทิพย์ และมีบริวารคอยรับใช้ ไม่เห็นเขี้ยว เว้นแต่เวลาโกรธ ซึ่งต่างกับยักษ์ชั้นต่ำที่จะมีรูปกายน่าเกลียด ตาโปน ตัวดำ ผมหยิก และมีนิสัยดุร้าย สามารถเกิดได้ 4 แบบ ดังนี้

  • กิดแบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที
  • เกิดแบบสังเสทชะ เกิดในเหงื่อไคล
  • เกิดแบบชลาพุชะ เกิดในครรภ์
  • เกิดแบบอัณฑชะ เกิดในไข่

สาเหตุที่อาวุธของยักษ์ ต้องเป็นกระบอง

            กระบองของยักษ์ มีลักษณะจะมีคล้ายกับสากตำพริกหรือไม้ตีพริกแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่า โดยยักษ์แต่ละตน จะมีขนาดของกระบองที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับบาปที่ติดตัวมาตั้งเป็นมนุษย์ เพราะในตอนที่เป็นมนุษย์มักชอบพกอาวุธติดตัวเอาไว้ไปทำร้ายผู้คน ถ้าใครที่มีบาปหนาก็จะได้ไม้กระบองอันใหญ่มาก ๆ ถือไปไหนมาไหนก็ลำบาก แต่หากมีความผิดในส่วนนี้เพียงเล็กน้อย ก็จะได้ขนาดของกระบองที่เล็กลงตามไป

            ครั้งหนึ่งเคยมียักษ์ตนหนึ่งได้ทำการเขวี้ยงกระบองไปให้ไกลจากตัว แต่จนแล้วจนเล่า กระบองนั้นก็กลับมาหาเขาอีกครั้ง เป็นเช่นเคยในทุก ๆ ครั้งที่ได้ทำการทิ้งกระบอง นั่นเป็นเพราะบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์นั่นเอง นอกจากนี้บ้างก็มีการลอกเล่าว่า เหตุที่ยักษ์ต้องพกกระบอง เพราะกระบองเป็นสัญลักษณ์ของความป่าเถื่อนและยังเป็นอาวุธที่ใช้ห้ำหั่น ซึ่งต่างจาก พระขรรค์ ซึ่งเป็นอาวุธของกษัตริย์ ที่ใช้ในการปกครองบ้านเมือง และยังถือเป็นอาวุธที่สูงส่งกว่ากระบอง พบเห็นได้มากในวรรณคดีต่าง ๆ และถูกกล่าวถึงอย่างบ่อยครั้ง

Share this story: