ตำนานเจ้าพ่อเขาใหญ่

            หากใครได้ไปเยือนเกาะสีชัง แน่นอนว่าจะต้องเข้าไปทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่เป็นอันดับแรกซึ่งศาลแห่งนี้เป็นที่เคารพของชาวชลบุรีมาอย่างช้านานโดยความเชื่อของชาวบ้านจากรุ่นสู่รุ่นทำให้ความขลังและมีความน่าพิศมัยชวนให้ได้หลงใหลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ของพ่อค้าแม่ขายและคนเดินเรือต่าง ๆ เมื่อได้ยินชื่อของเจ้าพ่อเขาใหญ่ต่างก็จะยกมือกราบไหว้กันแบบทันทีทันใด เพราะรู้ถึงพุทธคุณจากการบูชาและสักการะตามตำนานที่ได้เล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

            โดยในสมัยอดีตบริเวณเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เป็นจุดในการเดินทางค้าขายที่มีความคึกคักเรือนับร้อยลำจอดอยู่ทั่วรอบเกาะเพื่อขนส่งสินค้าทางเข้าและออก ซึ่งก็นับว่าเป็นแหล่งคนถ่ายสินค้าทางทะเลแห่งเดียวของประเทศไทยที่ไม่ต้องใช้ท่าเทียบเรือเนื่องจากมีภูมิประเทศที่เหมาะสมและอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลเพียงแค่ 12 กิโลเมตร นอกจากนี้บริเวณเกาะสีชังและเกาะบริเวณก็ยังเป็นชัยภูมิ ที่เรือสามารถจอดรถคลื่นลมได้เป็นอย่างดีจึงไม่จำเป็นต้องมีท่าเรือแต่อย่างใด

            เล่ากันว่าในสมัยก่อนพ่อค้าเรือสำเภาชาวต่างชาติและพ่อค้าชาวจีนบริเวณภูเขาหัวเกาะสีชังหรือเขาคยาศิระที่เรียกกันในปัจจุบันจะปรากฏแสงสว่างในเวลาค่ำคืนอย่างสุกใสและมีความน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยแก่ผู้ที่ได้พบเห็น จึงได้พากันเข้าไปสำรวจในบริเวณนั้นและได้พบกับหินที่มีรูปร่างคล้ายกับเจ้าพ่อเขาใหญ่ภายในทับ ลักษณะนั่งประทับอยู่ จึงเกิดความศรัทธาและต่างพากันสักการะบนบานขอให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการค้าให้มีความมั่งคั่งรุ่งเรือง ซึ่งเมื่อสิ่งที่ขอไปประสบผลสำเร็จจึงได้มีการก่อสร้างเป็นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ขึ้น โดยเชื่อว่าศาลแห่งนี้สร้างตั้งแต่ปีพ.ศ 2435 หรือเป็นระยะเวลา 132 ปี

            หลังจากข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องของการพบเห็นนี้ได้แพร่สะพัดออกไปก็ทำให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใสกันเป็นวงกว้างทำให้ผู้ที่มีความเชื่อและความเลื่อมใสต่างพากันเข้ามาสักการะ ณ สถานที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก  อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงแค่ชาวไทยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะยังมีชาวต่างประเทศหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย หรือจะเป็นไต้หวัน ก็มีอีกเช่นเดียวกัน ทำให้มีศิษยานุศิษย์มากมาย โดยจะมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวได้สักการะในเทศกาลสำคัญ เช่น ประเพณีไหว้ตรุษจีนของทุกปี ประเพณีนมัสการเจ้าพ่อเขาใหญ่ มาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง

           

Share this story: